ประวัติ
จากความเชื่อในพระพุทธศาสนา
ช้างเป็นสัญลักษณ์ที่เป็นมงคลแห่งการบำเพ็ญบารมีและความศักดิ์สิทธิ์
ดังปรากฏในชาดกเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นอดีตชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์เคยเสวยพระชาติเป็นพระยาช้างที่ทรงบำเพ็ญบารมี เช่น
พระยาฉัททันต์และพระยาช้างปัจจัยนาเคนทร์[2]
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการบำเพ็ญบารมีในพระเวสสันดรชาดก และพระยาเศวตมงคลหัตถี
หรือพระยามงคลนาคในทุมเมธชาดก และตามพระพุทธประวัติ
เมื่อพระนางสิริมหามายาทรงพระครรภ์ ก็ทรงพระสุบินเห็นช้างเผือกนำดอกบัวมาถวาย
อันเป็นนิมิตว่าผู้มีบุญญาธิการเพียบพร้อมด้วยบารมี
ได้มาอุบัติเป็นมนุษย์สู่พระครรภ์มารดาทางพระนาภีเบื้องขวาในรูปของช้างเผือก
ช้างเผือกจึงเป็นที่นับถือว่าเป็นสัตว์มงคลที่สำคัญประเภทหนึ่ง ในพระพุทธศาสนา
โดยจะพบว่าสัญลักษณ์ในมงคล 108 ปรากฏในรอยพระพุทธบาทนั้นมีรูปช้างมงคล 2 ช้าง
จะเห็นได้ว่า ช้างนั้นได้รับความสนใจศึกษาลักษณะได้อย่างละเอียด
มีการแบ่งช้างออกตามลักษณะดีและลักษณะอัปมงคล ดังปรากฏในตำราคชลักษณ์
ช้างที่มีลักษณะมงคลนั้นก็จะถูกคัดเลือกออกมาเฉพาะนำมาน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นช้างต้น
เพื่อเป็นราชพาหนะแห่งองค์พระมหากษัตริย์ ช้างที่มีลักษณะเป็นมงคลซึ่งเป็นที่ปรารถนาอย่างยิ่งแต่โบราณ
คือ ช้างเผือก หรือช้างสำคัญ ซึ่งเมื่อพบแล้วจะถูกนำน้อมเกล้าฯ
ถวายแด่พระมหากษัตริย์เพื่อทรงประกอบพระราชพิธีรับและขึ้นระวางสมโภชเป็นพระยาช้างต่อไป
แต่เดิมคำว่าช้างต้นจะหมายถึงช้างหลวงของพระมหากษัตริย์
ทั้งช้างเผือกและช้างทรงที่เป็นราชพาหนะ โดยตั้งแต่รัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา
ช้างต้นจะหมายถึงช้างเผือกเป็นสำคัญ
จากการที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงดำริเห็นความสำคัญของช้างเผือกจึงโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาดาราตราช้างเผือกขึ้น
ใน พ.ศ. 2404 เพื่อพระราชทานแก่ ผู้มียศต่างๆ ในราชอาณาจักรโดยให้ทำเป็นดาราทองคำ
มีรูปช้างเผือกสลักตรงกลาง เหนือขึ้นไปเป็นพระมหามงกุฏมีทั้งดาราที่มีเครื่องสูงประดับและไม่มีเครื่องสูงประดับ
และถ้าพระราชทานชาวต่างประเทศที่มีความดีความชอบ ดาราก็จะมีรายละเอียดเพิ่มขึ้น
คือ มีรูปเสาธงอยู่บนหลังช้าง
ดาราตราช้างเผือกได้มีการสถาปนาเพิ่มเติมขึ้นอีกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โดยโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพายขึ้นและปรับเปลี่ยนลวดลายและกำเนิดชั้นของดาราใหม่
จนในปี พ.ศ. 2432 เรียกว่า เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก
หรือเรียกสั้น ๆ ว่า เครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือก มี 8 ชั้น
ลักษณะ
พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ช้างสำคัญในรัชกาลที่ 9
ตามความหมายในพระราชบัญญัติสำหรับรักษาช้างป่า
พระพุทธศักราช 2464 ในสมัยรัชกาลที่ 6 กำหนดช้างซึ่งมีลักษณะพิเศษไว้ 3 ชนิด
ตามมาตรา 4 ระบุไว้ว่า
"ช้างสำคัญ" มีคชลักษณะ 7 ประการ คือ
ตาขาว เพดานขาว เล็บขาว ขนขาว พื้นหนังขาวหรือสีคล้ายหม้อใหม่ ขนหางขาว อัณฑโกศขาวหรือคล้ายสีหม้อใหม่
"ช้างสีปลาด" [ปะหฺลาด] คือ
ช้างที่มีมงคลลักษณ์อย่างใดอย่างหนึ่งใน 7 อย่างที่กำหนดไว้ในคชลักษณะของช้างสำคัญ
"ช้างเนียม" มีลักษณะ 3 ประการ คือ
พื้นหนังดำ งามีลักษณะดังรูปปลีกล้วย เล็บดำ
พระราชบัญญัติสำหรับรักษาช้างป่า พระพุทธศักราช
2464 นี้ไม่มีชนิดใดเรียกว่าช้างเผือก แต่คนไทยทั่วไปคุ้นเคยกับคำว่า
"ช้างเผือก"
เมื่อเจ้าหน้าที่บ้านเมืองทราบว่ามีช้างเผือก ณ
ที่ใด จะกราบบังคมทูลให้ทรงทราบ เพื่อโปรดเกล้าฯ
ให้ผู้เชี่ยวชาญการดูคชลักษณ์ไปตรวจดูอีกครั้ง
โดยต้องคำนึงถึงลักษณะอันเป็นมงคลอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น เวลาที่ช้างหลับ
ถ้ามีเสียงกรนประดุจเสียงแตรสังข์ถือว่าเป็นมงคล
ถ้าเสียงกรนคล้ายคนร้องไห้ถือว่าเป็นอัปมงคล แม้จะมีคชลักษณ์สมบูรณ์ก็ตาม
นอกจากนี้ยังมีตำราคชลักษณ์กล่าวว่า
การดูลักษณะช้าง ให้พึงพิจารณาลักษณะ 10 ประการ คือ ขน หาง จักษุ เล็บ อัณฑโกศ
ช่องแมลงภู่ ขุมขน เพดาน สนับงา ข้างในไรเล็บ ถ้าต้องกับสีกาย เป็นศุภลักษณะใช้ได้
ถ้านับสีกายด้วยก็เป็น 11 ประการ
ความเชื่อเกี่ยวกับช้างเผือก
ช้างเผือก ณ เมืองเนปยีดอ, สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
ตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์
กล่าวถึงต้นกำเนิดของช้าง ในเรื่องการสร้างโลกว่าพระวิษณุ (พระนารายณ์)
ขณะที่บรรทมอยู่ในเกษียรสมุทรทรงแสดงเทวฤทธิ์อธิษฐาน ให้มีดอกบัวผุดขึ้นจากพระนาภี
1 ดอก ดอกบัวนี้มี 8 กลีบ และมีเกสร 173 เกสร
พระวิษณุได้ทรงนำดอกบัวนี้ไปถวายแด่พระศิวะ (พระอิศวร)
ซึ่งพระองค์ได้ทรงแบ่งดอกบัวและเกสรดอกบัวนั้นออกเป็น 4 ส่วน
และทรงแบ่งให้กับเทวะองค์อื่นๆ อีก 3 องค์ คือ ทรงเก็บไว้เอง ,ทรงแบ่งให้พระวิษณุ,ทรงแบ่งให้พระพรหม
และทรงแบ่งให้พระอัคนิ (พระเพลิง)
โดยองค์เทวะทั้งสี่ได้ทรงสร้างช้างขึ้นองค์ละตระกูล ดังที่ปรากฏในตำราคชลักษณ์
จึงมีช้าง 4 ตระกูล และช้างทั้ง 4 ตระกูลเหล่านี้ยังถูกแบ่งออกเป็นวรรณะ
เช่นเดียวกับการแบ่งวรรณะของคนอินเดียด้วย คือ
อิศวรพงศ์
เป็นช้างในตระกูลที่พระอิศวรหรือพระศิวะ ทรงสร้าง จัดเป็นช้างชาติกษัตริย์
พรหมพงศ์ เป็นช้างในตระกูลที่พระพรหมทรงสร้าง
จัดเป็นช้างชาติพราหมณ์
วิษณุพงศ์ เป็นช้างในตระกูลที่พระวิษณุหรือพระนารายณ์ทรงสร้างจั้ดเป็นช้างชาติแพศย์
อัคนิพงศ์
เป็นช้างในตระกูที่พระอัคนิหรือพระเพลิงทรงสร้าง จัดเป็นช้างชาติศูทร
ความเชื่อของคนไทยกับช้างเผือก
เป็นช้างที่เกิดขึ้นเพราะพระบารมีของพระมหากษัตริย์ แต่อันที่จริงช้างเผือก
หรือช้างสำคัญ มี 3 ชนิดดังกล่าว
ถ้าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดมีช้างเผือกมาสู่พระบารมีจำนวนมาก ก็จะถือว่าเป็นมงคล
บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข
เมื่อสำนักพระราชวังตรวจคชลักษณ์ว่าเป็นช้างเผือกหรือช้างสำคัญแล้ว
ก็จะนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยจะน้อมเกล้าฯ ถวายช้างสำคัญ
และมีพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างสำคัญ
พระมหากษัตริย์องค์ใดได้พบช้างเผือกเป็นจำนวนมาก แสดงว่า
พระมหากษัตริย์พระองค์นั้นทรงถึงพร้อมด้วยบุญญาภินิหารบารมีมากและมักถวายพระนามพระองค์ว่า
พระเจ้าช้างเผือก ดังเช่น สมเด็จพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา เป็นต้น
ในความเชื่อของชาวพม่า
ซึ่งนับถือศาสนาพุทธแบบเถรวาทเช่นเดียวกับไทย เชื่อว่า
ใครได้พบกับช้างเผือกเสมือนกับได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งในอดีตชาติเคยเสวยชาติเกิดเป็นช้างเผือก[1]
ในตำนานพุทธประวัติ
กล่าวว่าช้างเผือกนั้นคือสัญลักษณ์แห่งความรู้ และ การเกิด
คืนก่อนวันประสูติของพระพุทธเจ้า พระมารดาของพระองค์ทรงสุบิณท์ ถึงช้างเผือก
มอบดอกบัวให้พระนาง ดอกบัวอันหมายถึงความบริสุทธิ์และความรู้
ตำนานไตรภูมิ มีบทหนึ่งกล่าวถึงช้างเผือกว่า:
" มหาราชมีครบซึ่งสิ่ง 7 ประการ ภริยาที่สมบูรณ์ ขุมสมบัติคณานับ
ผู้ปรึกษาแผ่นดินที่ดี ม้าที่วิ่งเร็ว กฎการปกครองที่ดี แก้วแหวนอันเป็นสิ่งสำคัญ
และช้างเผือกที่สง่างาม"
ขนช้างเผือกโดยเฉพาะขนหางถือว่าเป็นเครื่องรางของคลังชนิดหนึ่งสามารถป้องกันเสนียดจัญไรแก่ผู้ที่มีไว้ครอบครองได้
จึงนิยมนำมาทำเป็นแหวนติดตัว
และพระแส้หางช้างเผือกของพระมหากษัตริย์ก็ทำมาจากขนหางช้างเผือกเช่นกัน
เชื่อกันว่าเด็กคนใดที่มักจะเจ็บไข้ได้ป่วย
ไม่แข็งแรง หรือเลี้ยงยาก ถ้านำเด็กคนนั้นไปลอดใต้ท้องช้างเผือกครบ 3 รอบ
จะกลับมาแข็งแรงไม่เจ็บไข้ได้ป่วยบ่อยๆอีก และเลี้ยงง่าย
หากมีเหตุต่างๆแกช้าง เกิดขึ้นแก่ช้างเผือก
เช่น เจ็บ งาหักหรือล้มถือว่าเป็นลางร้ายของแผ่นดิน
จะเกิดอาเพศภัยร้ายแรงขึ้นแก่บ้านเมืองและประชาชนหรือเมื่อบ้านเมืองจะเกิดวิกฤตการณ์
ช้างเผือกจะมีอาการประหลาดๆ ให้เห็นดังเช่นในประเทศพม่าในตอนที่แม่ทัพอังกฤษเข้าเฝ้าพระเจ้าสีป่อ
เพื่อเชิญเสด็จไปจากประเทศพม่า
ช้างเผือกก็ส่งเสียงร้องเหมือนคนร้องไห้และดิ้นรนมิได้หยุด
หมอควาญจะปลอบอย่างไรก็มิได้สงบ
ซึ่งหลังจากที่พระเจ้าสีป่อเสด็จออกไปนอกประเทศและชาวอังกฤษเข้ามาปกครองแทนแล้ว
ช้างเผือกก็ล้มโดยมิได้เป็นโรคอะไร
วัฒนธรรม
"ธงช้าง"
ลักษณะเป็นรูปช้างเผือกเปล่า ยืนหันหน้าให้เสา บนพื้นธงสีแดงเกลี้ยง
ใช้เป็นธงชาติสยาม พ.ศ. 2398 - 2459
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก
ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก
ช้างเผือกถือเป็นสิ่งสำคัญของชาติไทย เริ่มจากการนำรูปช้างเผือกติดไว้บนธงสีแดง
ซึ่งเดิมถือเป็นธงประจำชาติไทย ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นธงไตรรงค์
การกำหนดไว้ในเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกทั้ง 8 ชั้น
ชั้นสูงสุด คือ มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) การสร้างเหรียญกษาปณ์ไทย ธนบัตรรูปช้างสามเศียร
และแสตมป์ที่มีรูปช้าง การสร้างภาพยนตร์ไทยเรื่องพระเจ้าช้างเผือก ตราสมาคมต่างๆ
นอกจากนี้ตราช้างเผือกยังได้รับราชทานพระบรมราชานุญาตจากรัชกาลที่ 6
ให้ใช้เป็นตราประจำกองลูกเสือของอังกฤษ "King of Siam's Own Troop of
Boy Scouts" หรือ "K.S.O." อีกด้วย
ในปัจจุบัน ยังนำคำว่า "ช้างเผือก"
มาใช้ในแวดวงการศึกษาและแวดวงกีฬา
โดยเปรียบเปรยถึงเยาวชนซึ่งอาศัยอยู่ต่างจังหวัดที่เรียนเก่งระดับหัวกะทิ
หรือมีความสามารถทางกีฬาเป็นเลิศ และได้โควตาพิเศษเข้ามาศึกษาต่อในกรุงเทพฯ
หรือมาเป็นนักกีฬาทีมชาติตามโครงการช้างเผือก[3]
ในภาษาอังกฤษคำว่า "white
elephant" มีความหมายในเชิงลบ
ซึ่งหมายถึงของที่ใหญ่และหายาก แต่มักจะไม่มีใครต้องการ
เนื่องจากต้องเสียค่าดูแลหรือค่าบำรุงสูง
มีที่มาจากการที่กษัตริย์สยามใช้วิธีมอบช้างเผือกให้กับศัตรูหรือผู้ที่ไม่ชอบ
ซึ่งคนผู้นั้นจะถูกบังคับให้ต้องดูแลช้างเผือกไปโดยปริยาย
และสูญเสียเงินในการดูแลจนล้มละลาย[4]
พบช้างเผือก แก่งกระจาน เปิดตำรา ช้างเผือกไทย กับลักษณะมงคล 7 ประการ
เรื่องควรรู้เกี่ยวกับ ช้างเผือก
สืบเนื่องจากกรณีที่มีข่าวพบช้างเผือก แก่งกระจาน
เป็นช้างขนาดเล็กอายุประมาณ 3-4 ปี อาจมีลักษณะคชลักษณ์ว่าเป็นช้างสำคัญ คือ
มีสีขาวนวลอมชมพูเหมือนสีหม้อใหม่ ขายาว ท่าทางสง่างาม
ซึ่งยังคงอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าจะใช่ ช้างเผือก หรือไม่... ว่าแต่
ลักษณะช้างเผือก เป็นอย่างไร วันนี้เรามี ตำราช้างเผือก พร้อม ๆ กับเรื่องราวของ
ช้างเผือกไทย คู่พระบารมีรัชกาลที่ 9 มาฝากกัน
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน
โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้กล่าวถึงคำว่า ช้างเผือก
ว่า แต่เดิมเป็นคำสามัญที่คนทั่วไปใช้เรียกช้าง ซึ่งมีผิวหนังเป็นสีชมพูแกมเทา
อันเป็นสีที่ผิดแปลกไปจากสีของผิวหนังช้างธรรมดา ที่ปกติมีสีเทาแกมดำ
โดยมิได้คำนึงถึงลักษณะอื่น ๆ ประกอบด้วย
ฉะนั้น คำว่า ช้างเผือก ตามความหมาย ที่เราเข้าใจกัน จึงอาจเป็นทั้งช้าง
ซึ่งมีมงคลลักษณะครบ หรือไม่ครบก็ได้ และเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในเรื่องนี้
ทางราชการจึงได้กำหนดศัพท์ที่ใช้เรียกชื่อช้าง ซึ่งมีลักษณะพิเศษขึ้นใหม่
ตามพระราชบัญญัติรักษาช้างป่า พุทธศักราช 2465 (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 38 หน้า 45
วันที่ 26 มิถุนายน 2464) มาตรา 4
โดยระบุไว้ว่า ช้างสำคัญ ให้พึงเข้าใจว่า เป็นช้างที่มีมงคลลักษณะ 7 ประการ
ดังนี้
1. ตาขาว
2. เพดานขาว
3. เล็บขาว
4. ขนขาว
5. พื้นหนังขาว (หรือสีคล้ายหม้อใหม่)
6. ขนหางยาว
7. อัณฑะโกศขาว (หรือสีคล้ายหม้อใหม่)
ส่วน "ช้างสีประหลาด" ให้พึงเข้าใจว่า
เป็นช้างที่มีมงคลลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดใน 7 อย่าง ที่กล่าวไว้ในเรื่องช้างสำคัญ
จากความหมายตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ ชี้ให้เห็นชัดว่า
"ช้างสำคัญ" คือ ช้างเผือกที่มีลักษณะครบถ้วน
สำหรับช้างเผือกตามความหมายของคนทั่ว ๆ ไป
ซึ่งส่วนใหญ่สังเกตจากลักษณะสีของผิวหนังนั้น อาจไม่ใช่ช้างสำคัญ หรือช้างเผือก
ที่มีลักษณะครบถ้วนก็ได้ เพราะสีของช้างเป็นแต่เพียงมงคลลักษณะข้อ 1
ในจำนวนมงคลลักษณะ 7 ข้อ ซึ่งเข้าเกณฑ์ที่เรียกว่า "ช้างสีประหลาด"
เท่านั้น ดังนั้น ตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ จึงไม่ใช้คำว่า "ช้างเผือก"
เพราะเกรงว่า จะเข้าใจสับสนกัน
นอกจาก "ช้างสำคัญ" และ "ช้างสีประหลาด" แล้ว
พระราชบัญญัติฉบับนี้ยังได้กล่าวถึง "ช้างเนียม" ไว้ด้วย
โดยระบุลักษณะของช้างเนียมไว้ 3 ประการ คือ พื้นหนังดำ งามีลักษณะดังรูปปลีกล้วย
และเล็บดำ ซึ่งเป็นลักษณะของช้างที่แปลกประหลาดหายาก ดังนั้น ในมาตรา 12
แห่งพระราชบัญญัติรักษาช้างป่า กำหนดให้ผู้ที่ครอบครอง ช้างสำคัญ ช้างสีประหลาด
ช้างเนียม ต้องนำช้างดังกล่าวขึ้นทูลถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
กับได้กำหนดบทลงโทษไว้ในมาตรา 21 ว่า ผู้ใดมีช้างสำคัญ ช้างสีประหลาด
หรือช้างเนียม แล้วปล่อยเสียหรือปิดบังซ่อนเร้นช้างนั้นไว้
ไม่นำขึ้นทูลถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน
1 ปี หรือปรับไม่เกิน 500 บาท และโทษนี้
ไม่ลบล้างการที่ช้างนั้นจะต้องพึงริบเป็นของหลวง
นอกจากนี้ สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ยังได้บรรยายลักษณะสำคัญของช้างเผือก
ไว้ดังนี้ ช้างเผือก เป็นช้างพลายรูปงาม งาขวา-ซ้ายเรียวงาม กายสีดอกบัวแดง
ขนตัวขุมละสองเส้น ขนโขมด สีน้ำผึ้งโปร่ง ขนบรรทัดหลังสีน้ำผึ้งโปร่งเจือแดง
ขนหูสีขาว ขนหางสีน้ำผึ้งเจือแดงแก่ ตาขาวเจือเหลือง เพดานปากขาวเจือชมพู
อัณฑะโกศขาวเจือชมพู เล็บขาว เจือเหลืองอ่อน หูและหางงามพร้อม
เสียงเป็นศัพท์แตรงอน
ส่วนในด้านฐานะของช้างเผือกนั้น พบว่า
ช้างเผือกเป็นราชพาหนะคู่พระบารมีของพระมหากษัตริย์
มีฐานะเทียบเท่าเจ้านายชั้นเจ้าฟ้า ดังจะเห็นได้จากพระกรรม์ภิรมย์ คือ ฉัตร 5 ชั้น
ทำด้วยผ้าขาวลงยันต์ มี 3 องค์ด้วยกันคือ พระเสนาธิปัต พระฉัตรชัย และพระเกาวพ่าห์
เป็นเครื่องสูงที่ใช้กางเชิญนำพระราชยาน เวลาเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตรา
และใช้พระกรรม์ภิรมย์สวมถุงเข้ากระบวนพระอิสริยยศแห่นำเสด็จพระราชวงศ์ชั้นเจ้าฟ้า
ในพระราชพิธีโสกันต์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่า ในพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างสำคัญ
ก็ใช้พระกรรม์ภิรมย์สวมถุงแห่นำเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ยังเห็นได้จากที่พราหมณ์
อ่านคำฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้างและกาพย์ขับไม้
ซึ่งถือว่าเป็นของสูงจะมีเฉพาะพระราชพิธีสำคัญ ๆ ได้แก่ การสมโภชพระมหาเศวตฉัตร
และเครื่องศิริราชกกุธภัณฑ์ในพระราชพิธีฉัตรมงคล พระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างสำคัญ
และพระราชพิธีที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็นพิเศษ เช่น คำฉันท์ดุษฎีสังเวย
และกาพย์ขับไม้สมโภชพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
เนื่องในพระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี เป็นต้น
สำหรับ ช้างสำคัญในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีทั้งหมด 10 เชือก ในปัจจุบันอยู่ที่โรงช้างต้น สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต
ยกเว้นพระเศวตวรรัตนกรี ซึ่งได้ล้ม ณ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2510
และพระเศวตสุรคชาธาร ซึ่งล้ม ณ โรงช้างต้น เมื่อ พ.ศ. 2520
สำหรับรายชื่อที่ช้างเผือกเชือกทั้งหมด มีดังนี้
1.
พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ
ช้างพลายเผือกโท ลูกเถื่อน นายแปลก คล้องได้ที่ จังหวัดกระบี่ เมื่อ พ.ศ.
2499 พลโท บัญญัติ เทพหัสดิน ณ อยุธยา
ประธานคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย น้อยเกล้าฯ ถวาย เมื่อวันที่ 10
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2511 เป็นช้างสำคัญในตระกูลพรหมพงศ์ จำพวกอัฏฐทิศ ชื่อ กมุท
สมโภชขึ้นระวาง ณ โรงช้างต้น พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 11พฤศจิกายน พ.ศ. 2502
หลังจากสมโภชขึ้นระวางแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย เลี้ยงไว้ที่สวนสัตว์ดุสิต (เขาดินวนา)
เป็นการชั่วคราว ได้ย้ายไปอยู่ที่โรงช้างต้น ในบริเวณพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อ
พ.ศ. 2519
2.
พระเศวตวรัตนกรีฯ
ช้างพลายเผือกลูกบ้าน ตกลูกที่บ้านนายแก้ว ปัญญาคง ตำบลอ่อนใต้
อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่พันตำรวจเอกนิรันดร ชัยนาม ผู้ว่าราชการ
จังหวัดเชียงใหม่ น้อมเกล้าฯ ถวาย สมโภชขึ้น ระวาง ณ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่
24 มกราคม พ.ศ. 2509
3.
พระเศวตสุรคชาธารฯ
ช้างพลายเผือก ลูกเถื่อน นายเจ๊ะเฮง หะระดี กำนันตำบลการอ อำเภอรามัน
จังหวัดยะลา ได้ลูกช้างพลัดแม่ พันตำรวจเอก ศิริ คชหิรัญ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา
น้อมเกล้าฯ ถวาย เมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2511
เป็นช้างสำคัญในตระกูลพรหมพงศ์จำพวกช้าง 10 หมู่ ชื่อ ดามพหัตถี สมโภชขึ้นระวาง ณ
จังหวัดยะลา เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2511
4.
พระศรีเศวตศุภลักษณ์ฯ
ช้างพังเผือก ลูกเถื่อน ชื่อเจ้าแต๋น กรมป่าไม้ได้มาจากอำเภอ พนมสารคาม
จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้นำไปเลี้ยงไว้ ณ วนอุทยานเขาช่อง จังหวัดตรัง
ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง และอธิบดีกรมป่าไม้ได้น้อมเกล้าฯ ถวาย
เป็นช้างสำคัญในตระกูลวิษณุพงศ์ จำพวกอัฏฐคช ชื่อ ดามพหัสดินทร์สมโภชขึ้นระวาง ณ
โรงช้างต้น สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2519
5.
พระเศวตศุทธวิลาศฯ

ช้างพลายเผือก ลูกเถื่อน ชื่อบุญรอด
คนงานของกรมป่าไม้ได้พบลูกช้างที่ป่าบริเวณแม่น้ำแควน้อย จังหวัดกาญจนบุรี
ต่อมาได้นำมาเลี้ยงไว้ ณ อุทยานเขาเขียว จังหวัดชลบุรี
อธิบดีกรมป่าไม้ได้น้อมเกล้าฯ ถวาย เป็นช้างสำคัญในตระกูลวิษณุพงษ์ จำพวกอัฎฐคช
ชื่อดามพหัสดินทร์ สมโภชขึ้นระวาง ณ โรงช้างต้น พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2520
6.
พระวิมลรัตนกิริณีฯ
ช้างพังเผือก ลูกเถื่อน ชื่อ ขจร นายปรีชาและนางพิมพ์ใจ วารวิจิตร ได้มาจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์และได้นำมาเลี้ยงไว้ที่บ้าน
ณ ทุ่งสีกัน กรุงเทพฯ นายปรีชาและนางพิมพ์ใจ วารวิจิตร ได้น้อมเกล้าฯ ถวาย
เป้ฯช้างสำคัญในตระกูลพรหมพงศ์จำพวกอัฏฐทิศ ชื่อกมุท สมโภชขึ้นระวาง ณ โรงช้างต้น
พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2520
7.
พระศรีนรารัฐราชกิริณีฯ
ช้างพังเผือก ลูกเถื่อน ชื่อจิตรา นายมายิ มามุ ราษฎร บ้านกูมุง หมู่ที่ ๗
ตำบลจะแนะ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ได้ลูกช้างพลัดแม่บนเทือกเขากือซา นายวัชร
สิงคิวิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส น้อมกล้าฯ ถวาย เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม
พ.ศ. 2520 เป็นช้างสำคัญในตระกูลพรหมพงศ์ จำพวกอัฏฐทิศ ชื่อ อัญชัน สมโภชขึ้นระวาง
ณ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2520
8.
พระเศวตภาสุรคเชนทร์ฯ
ช้างพลายเผือก ลูกเถื่อน ชื่อภาศรี นายสุรเดช มหารมย์เจ้าของไร่ภาศรี
ใกล้เขื่อนแก่งกระจาน อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี
ได้มาจากชาวบ้านกะเหรี่ยงบ้านหนองปีนแตก ตำบลสองพี่น้อง อำเภอท่ายาง
จังหวัดเพชรบุรี นายศุภโยค พาณิชย์วิทย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี น้อมเกล้าฯ
ถวายสมโภชขึ้นระวาง ณ จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2521
เป็นช้างสำคัญในตระกูลวิษณุพงษ์ จำพวกอัฏฐคช ชื่อ ดามพหัสดินทร์
9.
พระเทพวัชรกิริณีฯ
ช้างพังเผือกลูกเถื่อน ชื่อขวัญตา พระปลัดบุญส่ง ธัมมปาโล
เจ้าอาวาสวัดเขาบันไดอิฐ อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ได้มาจากนายสนิท
ศิริวานิช กำนันตำบลเขาน้อย อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายศุภโยค
พาณิชย์วิทย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี น้อมเกล้าฯ ถวาย สมโภชขึ้นระวาง ณ
จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 เป็นช้างสำคัญในตระกูลวิษณุพงศ์
จำพวกอัฏฐคช ชื่อดามพหัสดินทร์
10.
พระบรมนัขทัศฯ
ช้างพลายเผือกเล็บครบ ลูกเถื่อน ชื่อดาวรุ่ง พระปลัดบุญส่งธัมมปาโล
เจ้าอาวาสวัดเขาบันไดอิฐ ได้มาจากราษฎร อำเภอปราณบุรี
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้นำมาเลี้ยงไว้ที่วัดเขาบันไดอิฐ คู่กับช้างพัง
"ขวัญตา" นายศุภโยค พาณิชย์วิทย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี
น้อมเกล้าฯ ถวาย สมโภชขึ้นระวาง ณ จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ.
2521 เป็นช้างสำคัญในตระกูลวิษณุพงศ์ จำพวกอัฏฐคช ชื่อครบกระจอก
เป็นช้างที่มีเล็บครบ 20 เล็บ คือเท้าละ 5 เล็บทั้ง 4 เท้า
น.ส.นาตาลี เชื้อช่วย เลขที่13 ม.6/4
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น